วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ขอเชิญเข้าร่วมการประชุมวิชาการ มอบ.วิจัย ครั้งที่ 6
การพัฒนาท้องถิ่นสู่ภูมิภาคอาเซียน: การเปลี่ยนแปลงของโลกและภัยธรรมชาติ
Local Development toward ASEAN : Global Change and Natural Disasters
วันที่ 26 - 27 กรกฎาคม 2555
ณ โรงแรมสุนีย์ แกรนด์ แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดอุบลราชธานี

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2555


สรุปประเด็นที่ได้จากการพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการวิจัยทางสังคมศาสตร์
ระหว่างคณาจารย์คณะรัฐศาสตร์และคณะศิลปศาสตร์
นำการแลกเปลี่ยนโดย รศ.ดร.ไชยันต์  รัชชกูล และ รศ.ดร.กอบกุล รายะนาคร
วันที่ 26 เม.ย. 55 เวลา 9.00-11.30 น. ณ ห้องประชุมคณะศิลปศาสตร์

แหล่งทุนที่น่าสนใจ ภายในประเทศ ได้แก่ สกว. สสส. และองค์กรระหว่างประเทศได้แก่ EU, IDRC, M-Power
ประเด็นที่น่าสนใจเพื่อเสนอ/ พัฒนาเป็นหัวข้อวิจัย ควรจะมีลักษณะที่เน้นความได้เปรียบเชิงพื้นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย โดยประเด็นอาจจะครอบคลุมตั้งแต่ระดับท้องถิ่น (อบต.) จนถึงระดับภูมิภาค (อีสาน/ GMS) เช่น
          องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น: ศึกษาประเด็นการกระจายอำนาจ การคอร์รัปชั่น ปัญหาเกี่ยวกับการจัดการงบประมาณหรือการคลังท้องถิ่น กฎหมายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ
          การจัดการสิ่งแวดล้อม: การเข้าถึงทรัพยากรของชาวบ้าน การบุกรุกทำลายป่าเพื่อการปลูกยาง ความเป็นธรรมในการถือครองที่ดิน การเลี้ยงปลาในกระชังแบบเปิด การใช้และการจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่
          ประเด็นความเหลื่อมล้ำในสังคม: ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรหรือสิทธิของชนกลุ่มน้อย หรือคนชายขอบ การเคลื่อนย้ายแรงงาน และกลุ่มคนต่างๆที่ด้อยโอกาสในสังคม

ทั้งนี้ ได้มีการเสนอว่า เพื่อพัฒนาความสามารถเพื่อเตรียมความพร้อมในการวิจัยครั้งต่อๆไป ผู้เข้าร่วมประชุม หรือผู้สนใจที่จะขอทุนวิจัย ควรเตรียมความพร้อมก่อนการประชุม อาจจะเป็นการเตรียมความพร้อมเฉพาะในหัวข้อที่ตนสนใจ โดยการเขียน concept note ความยาวประมาณ 2-3 หน้ากระดาษ ซึ่งอย่างน้อย concept note นี้ควรตอบคำถามดังต่อไปนี้
1. หัวข้อที่จะศึกษา มีความน่าสนใจอย่างไร มีสภาพปัญหาหรือข้อมูลเชิงประจักษ์อะไรบ้าง
2. มีงานวิจัยในประเด็นที่จะศึกษาแล้วหรือไม่ และงานวิจัยนี้จะเป็นการต่อยอดงานวิจัยเดิมหรือไม่อย่างไร (ควรมีการทบทวนงานวิจัย หนังสือ เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่สนใจว่างานเหล่านั้นมีการระบุประเด็นคำถามอย่างไร และงานวิจัยของเราต่างจากงานวิจัยก่อนๆอย่างไร)
3. คำถามวิจัยเป็นประโยชน์อย่างไรต่อนโยบายสาธารณะ

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

การวิจัยโดยทั่วไป มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ดังนี้
1. เพื่อการแก้ปัญหา (Problem-Solving) โดยการศึกษาค้นคว้าหาสาเหตุของปัญหา และแสวงหาหนทางในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น
2. เพื่อสร้างทฤษฎี (Theory-Developing Research) โดยการศึกษาหาคามรู้ความจริงใหม่ เพื่อนำความรู้ที่ได้มาสร้างเป็นกฎเกณฑ์และทฤษฎีใหม่ โดยกฎเกณฑ์และทฤษฎีเหล่านี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากมาย สามารถนำไปใช้อ้างอิง (Generalization) อธิบาย (Explanation) ทำนาย (Prediction) และควบคุม (Control) ปรากฏการณ์ต่างๆ ทั้งทางธรรมชาติและพฤติกรรมของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี
3. เพื่อพิสูจน์ทฤษฎี (Theory-Testing Research) เป็นการศึกษาเพื่อตรวจสอบผลการศึกษาค้นคว้าองค์ความรู้ กฎเกณฑ์ และทฤษฎีต่างๆ ที่มีอยู่แล้วของผู้อื่น ว่าถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากทฤษฎีต่างๆ ที่สร้างขึ้นมานั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ภายใต้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนแปลงไป มนุษย์จึงต้องทำการวิจัยเพื่อตรวจสอบว่าข้อค้นพบที่ได้จากการวิจัยก่อนๆ นั้น ยังคงถูกต้องหรือไม่ ถ้าไม่ถูกต้อง ทฤษฎีที่สร้างขึ้นจากความรู้ความจริง นั้นๆ ก็นำไปใช้ไม่ได้

ที่มา ณรงค์  โพธิ์พฤกษานันท์. 2550. ระเบียบวิธีวิจัย. กรุงเทพฯ: เอ็กซเปอร์เน็ท. หน้า 38

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2555

ทำอย่างไรให้สามารถเขียนได้ดี

1. สนใจและรักความรู้บางเรื่องอย่างจริงจัง
         ถ้ารักความรู้ก็มีใจจะแสวงหาความรู้ เมื่อได้ความรู้ก็พอใจไม่ว่าจะได้สิ่งอื่น เช่น ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินเงินทองตามมาหรือไม่ แต่ถ้ารักสิ่งที่เป็นผลพลอยได้ เช่น ชื่อเสียง หรือตำแหน่งวิชาการ ก็จะมุ่งหาวิธีที่จะให้ได้สิ่งเหล่านั้นมากกว่าจะมุ่งหาความรู้ให้กว้างขวางลึกซึ้งที่สุด คนที่รักความรู้จะทำงานวิชาการได้อย่างสม่ำเสมอและมีความก้าวหน้าทางความรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ผลงานก็มักมีคุณภาพ ความรักในความรู้จึงเป็นแรงจูงใจที่สำคัญและดีที่สุดในการทำงานวิชาการ

2. เลือกสาขา ปัญหา หรือประเด็นที่ถนัดและมั่นใจ
         คนเราเก่งบางเรื่องและไม่เก่งบางเรื่อง หาคนที่เก่งหลายๆ เรื่องได้ยาก การพัฒนาความรู้ในเรื่องที่เก่งทำได้ง่ายกว่าเรื่องที่ไม่เก่ง เพราะมีความรู้ต้นทุนและความพึงพอใจเป็นปัจจัยหนุน ถ้ามีความถนัดในหลายเรื่อง ควรพิจารณาว่าเรื่องใดถนัดที่สุดและพอใจศึกษามากที่สุด ถ้าหาเรื่องที่ถนัดไม่ค่อยได้ก็เลือกเรื่องที่ถนัดที่สุดในบรรดาเรื่องที่ไม่ถนัดทั้งหลาย แม้มีความถนัดอยู่เราก็อาจยังเขียนเรื่องนั้นๆ ไม่ได้โดยทันที เพราะบางครั้งความรู้ทั้งหมดของเราก็ยังไม่เพียงพอ หรือยังไม่มีอะไรแปลกใหม่พอที่จะเสนอเป็นความรู้ที่มีค่า กรณีเช่นนี้เรายังต้องศึกษาและทำตัวให้มีความรู้ทันวงการวิชาการเรื่องนั้นๆ ซึ่งอาจต้องใช้เวลามาก แต่อย่างน้อยการที่เรามีความถนัดก็ทำให้เราพัฒนาได้เร็วกว่าเรื่องที่เราไม่ถนัด

3. อ่านให้ทันกระแสทั้งลึกและกว้าง
         ความรู้เปลี่ยนแปลงและเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ความรู้ที่เพิ่มขึ้นนี้เสนอในรูปแบบต่างๆ และสื่อต่างๆ ถ้าหยุดอ่านเพียงไม่กี่ปีจะล้าสมัยในเรื่องนั้น หรือบางสาขาเพียงหยุดอ่านสักหกเดือนก็ล้าสมัยได้ ความรู้ทางวิชาการมีกระแส มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าใครทำอะไรไว้บ้าง และไม่รู้ว่าสิ่งที่เราจะทำนั้นซ้ำกับผู้อื่นหรือไม่ หากทำซ้ำเพราะไม่รู้ก็จะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ การอ่านและการติดตามความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆ ให้ทันกระแสทั้งลึกและกว้างจึงเป็นสิ่งจำเป็น จึงควรอ่านบทความวารสารวิชาการในสาขาให้มากๆ ติดตามงานวิจัยและตำราใหม่ๆ อยู่เสมอ

4. รู้แหล่งข้อมูลและเข้าถึงแหล่งข้อมูล
         นักวิชาการจะต้องรู้แหล่งข้อมูล และเข้าถึงแหล่งข้อมูล ต้องมีความรู้และมีความสามารถพอที่จะเข้าใจข้อมูล

5. เข้าร่วมการประชุมหรือการสัมมนาทางวิชาการในเรื่องที่เราศึกษา ค้นคว้าวิจัย และต้องการนำมาเขียนเป็นงานวิชาการ
         ในที่ประชุมดังกล่าวมีนักวิชาการทั้งที่เป็นวิทยากรและผู้เข้าร่วมประชุม ปัญหาก็มักเป็นเรื่องทันสมัย ในที่ประชุมเช่นนั้นเราจะได้ทราบปัญหาสำคัญที่นักวิชาการสนใจ ได้ทราบแหล่งข้อมูล ความเปลี่ยนแปลงของความรู้ ความคิด และการตีความที่หลากหลาย เห็นบรรยากาศทางวิชาการและกระแสความรู้ของเรื่องนั้น กล่าวได้ว่าเป็นทางตรงที่เราจะใช้เดินเข้าสู่วงการวิชาการ และเข้าสู่ความทันสมัยทางวิชาการ

6. หามโนทัศน์ของตนมาอธิบายหรือติดตามข้อมูล
         การรู้ข้อมูลยังไม่นับว่าเป็นความรู้ที่สำคัญ ความรู้ที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้เกิดจากการใช้ข้อมูล การใช้ข้อมูลให้เกิดเป็นความรู้จะต้องมีการสรุปหรือเชื่อมโยงข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่ง การเชื่อมโยงข้อมูลอาศัยความคิดที่เชื่อมโยงข้อมูลที่เรียกว่ามโนทัศน์ (concept) มโนทัศน์อย่างง่ายได้มาจากการเห็นลักษณะซ้ำๆ ของข้อมูล เช่น เราเห็นว่าบ้านของชาวไทยใหญ่ในมณฑลยูนนานมีต้นไทยอยู่ทุกบ้าน หรือทุกหมู่บ้าน ก็เกิดมโนทัศน์ว่า ชาวไทยใหญ่นับถือต้นไทร หรือต้นไทรเป็นไม้มงคลสำคัญของชาวไทยใหญ่ แต่บางกรณีมโนทัศน์เป็นเครื่องเชื่อมความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ เช่น คนสังเกตเห็นว่าโลหะชนิดต่างๆ เมื่อถูกความร้อนถึงระดับหนึ่ง ขนาดจะขยายขึ้น ก็เกิดมโนทัศน์ว่า โลหะเมื่อถูกความร้อนจะขยายตัว มโนทัศน์นี้นำไปอธิบายได้ว่าทำไมช่างทำล้อเกวียนจึงเผาวงล้อเหล็กที่ขนาดเท่ากับล้อไม้เพื่อสวมวงล้อเหล็กลงบนวงล้อไม้
         ความรู้แทบทั้งหมดที่เราเรียนเกิดจากการสร้างมโนทัศน์มาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์หรือข้อมูล ถ้าผู้เขียนสามารถหามโนทัศน์ใหม่ๆ มาอธิบายข้อมูลเดียวกันให้ต่างกับคนอื่นได้ งานของผู้นั้นก็น่าสนใจ

7. ปิดทางโต้แย้งจากผู้อื่น
         ถ้าคนอ่านหนังสือเชื่อตามผู้เขียนทั้งหมด หนังสือทุกเล่มจะเป็นหนังสือที่น่าอ่าน แต่คนอ่านก็มีความรู้ บางครั้งความรู้ก็ต่างกับคนเขียน จึงโต้แย้ง คัดค้าน เห็นข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาด จนถึงกับไม่ชอบวิธีนำเสนอและลีลาการเขียน หากผู้เขียนต้องการให้งานน่าอ่านก็ต้องลดสิ่งเหล่านี้ให้ได้ งานเขียนที่ผู้อ่านเห็นว่าน่าอ่านก็คืองานที่มีลักษณะตรงข้ามคือไม่ผิดพลาด โดยเฉพาะในเรื่องหรือข้อมูลสำคัญ มีคำอธิบายครบถ้วน เหตุผลถูกต้อง ตอบปัญหาชัดเจน การทำให้งานมีลักษณะเช่นนี้อาศัยหลักการง่ายๆ คือ ทำตัวเป็นผู้อ่านที่เชื่อยาก ช่างสงสัย และพยายามโต้แย้ง คือค้านตัวเองและตอบข้อค้านนั้นให้ได้

8. ให้ผู้รู้ช่วยอ่าน
         การให้ผู้รู้ช่วยอ่านก็เพื่อได้เห็นข้อบกพร่องและแก้ไขไม่ว่าจะเป็นเรื่องความผิดพลาด ความเชื่อมโยงกันเป็นระบบ การเพิ่มส่วนที่ขาด มุมมองที่ต่างไปจากเรา แหล่งความรู้ที่ควรศึกษาเพิ่มเติม ตลอดจนวิธีเรียบเรียง และภาษาที่ใช้ ข้อบกพร่องเหล่านี้คนเขียนมักไม่เห็น เพราะในการเขียนเรามุ่งคิดไปทางใดทางหนึ่ง และมักไม่ได้คิดนึกให้กว้างขวางออกไป ไม่ว่าเราจะอ่านทบทวนเองสักกี่ครั้ง ก็ไม่เห็นข้อบกพร่อง แต่คนอื่นซึ่งไม่ได้ถูกจำกัดการมองเช่นนั้นจะเห็นสิ่งที่เราไม่เห็น ผู้เขียนจึงต้องพร้อมรับคำติชมและแก้ไข กรณีเช่นนี้ต้องไม่คิดว่าเราไม่รู้ โง่เขลา หรืองานของเราน่าอับอาย แต่ควรคิดว่านี่คือโอกาสที่เราจะรู้ข้อบกพร่องเพื่อจะได้แก้ไขและไม่ทำผิดซ้ำ เราต้องใช้กระจกเมื่อเวลาแต่งหน้าเพราะอะไร เพราะกระจกนั้นสะท้อนทั้งส่วนดีและส่วนบกพร่อง ทำให้เราแก้ไขส่วนที่บกพร่อง และเน้นส่วนดีให้เด่น ผู้รู้ที่ช่วยอ่านก็เหมือนกระจกที่จะทำให้เราไม่ต้องอายคนอื่นในภายหลัง และช่วยให้เรามั่นใจในงานที่เราเขียนมากขึ้น

         นอกจากเรื่องที่กล่าวมาแล้วนี้ ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่จะต้องรู้และนำไปปฏิบัติ เช่น การใช้ภาษาวิชาการ การเรียบเรียง การทำตามมาตรฐานของการเขียนตำรา การใช้เครื่องมือช่วยอธิบาย ลีลาการเขียน ซึ่งล้วนแต่มีส่วนทำให้งานน่าอ่านและได้มาตรฐานของงานวิชาการ และเรื่องเหล่านั้นก็เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดเช่นเดียวกัน

เอกสารอ้างอิง ศาสตราจารย์กิตติคุณ ปรีชา ช้างขวัญยืน, เอกสารประกอบการบรรยายการผลิตตำราและหนังสือวิชาการ, วันที่ 19 มีนาคม 2555, มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, (เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่), หน้า 10 - 13

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

ความแตกต่างระหว่างกฎ ทฤษฎี และสมมติฐาน

          ปัญหาของการวิจัยทางสังคมศาสตร์ คือ คำอธิบายเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ทางสังคมซึ่งมักจะเป็นคำอธิบายเชิงโอกาสที่จะเป็นไปได้ มากกว่าที่จะเป็นกฏที่แน่นอนและตายตัว ทั้งนี้เพราะปรากฏการณ์ทางสังคมมีเงื่อนไขต่างๆ มากมาย คำอธิบายทางสังคมศาสตร์จึงมีลักษณะความเป็นไปได้เชิงทฤษฎี (theoretical probability) มากกว่าเป็นกฎ (laws)
          ทฤษฎี คือ ข้อความ (หลายข้อความ) ที่อธิบายการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ ข้อความเหล่านี้จะระบุความสัมพันธ์ระหว่างแนวคิด (concepts) หรือตัวแปร (variables) หลายตัว ข้อความเหล่านี้เกี่ยวโยงกันอย่างมีระบบเพื่อการอธิบายหรือคาดคะเนการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์นั้น ความถูกต้องของทฤษฎีอยู่บนพื้นฐานของความสามารถพิสูจน์ทดสอบได้ด้วยข้อมูลเชิงประจักษ์
          สมมติฐาน เป็นข้อความหนึ่งข้อความที่ระบุถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร (หรือระหว่างแนวคิด) ที่ผู้วิจัยมุ่งจะนำไปทำการทดสอบว่าเป็นจริงหรือไม่ โดยทั่วไปสมมติฐานมักจะได้มาจากทฤษฎีหรือแนวความคิดของผู้วิจัยเอง
          กฎ คือคำพรรณาหรือที่สำคัญกว่าคือคำอธิบายการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ที่ได้ผ่านการทดสอบยืนยันว่าเป็จริงเสมอไป สมมติฐานหรือทฤษฎีที่ได้รับการทดสอบและพบว่าเป็นจริงทุกครั้งจะกลายเป็นกฏ เป้าหมายของศาสตร์คือการหาคำอธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาทั้งในรูปกฏหรือทฤษฎีที่ใช้ได้ทั่วไป ด้วยเหตุที่ศาสตร์แต่ละสาขามีอัตราความก้าวหน้าทางวิชาการไม่เท่ากัน เพราะความสลับซับซ้อนของปรากฏการณ์ที่ศึกษาแตกต่างกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งพฤติกรรมของมนุษย์ในแต่ละวัฒนธรรม ความสามารถในการหาคำอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ที่สามารถนำไปใช้ได้ทั่วไปจึงไม่เท่าเทียมกัน
          เนื่องจากศาสตร์ทางสังคมมุ่งศึกษาปรากฏการณ์ทางสังคมที่มีเงื่อนไขต่างๆ สลับซับซ้อนมากมาย และอิทธิพลของเงื่อนไขต่างๆ เหล่านี้จะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาและสถานที่ คำอธิบายที่หาได้และที่ใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมในสภาวะต่างๆ จึงอยู่ในรูปของความเป็นไปได้เชิงทฤษฎีมากกว่ากฏ ในปัจจุบัน การสร้างทฤษฎีที่จะมุ่งไปที่ความสามารถนำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมได้กว้างๆ ทั่วไป มากกว่าการหากฏเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางสังคม
          ด้วยเหตุที่ทฤษฎีเป็นองค์ความรู้ของแต่ละศาสตร์ที่มีนักวิชาการในศาสตร์นั้นๆ ได้สะสมกันมา และเป็นสิ่งที่ชี้ความก้าวหน้าของศาสตร์นั้นๆ แต่ด้วยเหตุที่มีการใช้คำว่าทฤษฎีไปในทางที่ไม่ถูกต้อง จึงสมควรที่จะได้พิจารณาศึกษาและทำความเข้าใจความหมายของคำดังกล่าวให้ถูกต้อง เฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย

เนื้อหาทั้งหมดอ้างอิงจาก
สุชาติ ประสิทธิ์รัฐสินธุ์, 2546, ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์, กรุงเทพฯ, สามลดา, หน้า 8 - 9.

วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

ขอเชิญเข้าร่วมการอบรม "การเขียนงานวิชาการเพื่อเผยแพร่"

   ด้วยโครงจัดตั้งกองส่งเสริมการวิจัย มีกำหนดจัดอบรม การเขียนงานวิชาการพื่อเผยแพร่ เพื่อเพิ่มทักษะในการเขียนงานวิชาการ ในวันพุธที่ 14 มีนาคม 2555 
รายละเอียด ตามลิ้งนี้ครับ http://www.pol.ubu.ac.th/2012/th/detail_news.php?news=00628

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จรรยาบรรณนักวิจัย


จรรยาบรรณนักวิจัย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
1.นักวิจัยต้องซื่อสัตย์มีคุณธรรมและจริยธรรมในทางวิชาการและการจัดการ
2. นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการทำวิจัย ตามข้อตกลงที่ทำไว้กับหน่วยงานที่สนับสนุนการวิจัยและต่อคณะ
3. นักวิจัยต้องมีความรู้พื้นฐานในสาขาวิชาการที่ทำวิจัย
4. นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือไม่มีชีวิต
5. นักวิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรีและสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย
6. นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิดโดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย
7. นักวิจัยพึงนำผลงานไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ
8. นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น
9. นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ


*** ผ่านการรับรองจากคณะกรรมการวิจัย บริการวิชาการและทำนุศิลปวัฒนธรรม ประจำคณะรัฐศาสตร์ในการประชุมครั้งที่ 3/2554 วันที่ 16 พฤศจิกายน 2554***