ทำอย่างไรให้สามารถเขียนได้ดี
1. สนใจและรักความรู้บางเรื่องอย่างจริงจัง
ถ้ารักความรู้ก็มีใจจะแสวงหาความรู้ เมื่อได้ความรู้ก็พอใจไม่ว่าจะได้สิ่งอื่น เช่น ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินเงินทองตามมาหรือไม่ แต่ถ้ารักสิ่งที่เป็นผลพลอยได้ เช่น ชื่อเสียง หรือตำแหน่งวิชาการ ก็จะมุ่งหาวิธีที่จะให้ได้สิ่งเหล่านั้นมากกว่าจะมุ่งหาความรู้ให้กว้างขวางลึกซึ้งที่สุด คนที่รักความรู้จะทำงานวิชาการได้อย่างสม่ำเสมอและมีความก้าวหน้าทางความรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ผลงานก็มักมีคุณภาพ ความรักในความรู้จึงเป็นแรงจูงใจที่สำคัญและดีที่สุดในการทำงานวิชาการ
2. เลือกสาขา ปัญหา หรือประเด็นที่ถนัดและมั่นใจ
คนเราเก่งบางเรื่องและไม่เก่งบางเรื่อง หาคนที่เก่งหลายๆ เรื่องได้ยาก การพัฒนาความรู้ในเรื่องที่เก่งทำได้ง่ายกว่าเรื่องที่ไม่เก่ง เพราะมีความรู้ต้นทุนและความพึงพอใจเป็นปัจจัยหนุน ถ้ามีความถนัดในหลายเรื่อง ควรพิจารณาว่าเรื่องใดถนัดที่สุดและพอใจศึกษามากที่สุด ถ้าหาเรื่องที่ถนัดไม่ค่อยได้ก็เลือกเรื่องที่ถนัดที่สุดในบรรดาเรื่องที่ไม่ถนัดทั้งหลาย แม้มีความถนัดอยู่เราก็อาจยังเขียนเรื่องนั้นๆ ไม่ได้โดยทันที เพราะบางครั้งความรู้ทั้งหมดของเราก็ยังไม่เพียงพอ หรือยังไม่มีอะไรแปลกใหม่พอที่จะเสนอเป็นความรู้ที่มีค่า กรณีเช่นนี้เรายังต้องศึกษาและทำตัวให้มีความรู้ทันวงการวิชาการเรื่องนั้นๆ ซึ่งอาจต้องใช้เวลามาก แต่อย่างน้อยการที่เรามีความถนัดก็ทำให้เราพัฒนาได้เร็วกว่าเรื่องที่เราไม่ถนัด
3. อ่านให้ทันกระแสทั้งลึกและกว้าง
ความรู้เปลี่ยนแปลงและเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ความรู้ที่เพิ่มขึ้นนี้เสนอในรูปแบบต่างๆ และสื่อต่างๆ ถ้าหยุดอ่านเพียงไม่กี่ปีจะล้าสมัยในเรื่องนั้น หรือบางสาขาเพียงหยุดอ่านสักหกเดือนก็ล้าสมัยได้ ความรู้ทางวิชาการมีกระแส มิฉะนั้นก็ไม่รู้ว่าใครทำอะไรไว้บ้าง และไม่รู้ว่าสิ่งที่เราจะทำนั้นซ้ำกับผู้อื่นหรือไม่ หากทำซ้ำเพราะไม่รู้ก็จะเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ การอ่านและการติดตามความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆ ให้ทันกระแสทั้งลึกและกว้างจึงเป็นสิ่งจำเป็น จึงควรอ่านบทความวารสารวิชาการในสาขาให้มากๆ ติดตามงานวิจัยและตำราใหม่ๆ อยู่เสมอ
4. รู้แหล่งข้อมูลและเข้าถึงแหล่งข้อมูล
นักวิชาการจะต้องรู้แหล่งข้อมูล และเข้าถึงแหล่งข้อมูล ต้องมีความรู้และมีความสามารถพอที่จะเข้าใจข้อมูล
5. เข้าร่วมการประชุมหรือการสัมมนาทางวิชาการในเรื่องที่เราศึกษา ค้นคว้าวิจัย และต้องการนำมาเขียนเป็นงานวิชาการ
ในที่ประชุมดังกล่าวมีนักวิชาการทั้งที่เป็นวิทยากรและผู้เข้าร่วมประชุม ปัญหาก็มักเป็นเรื่องทันสมัย ในที่ประชุมเช่นนั้นเราจะได้ทราบปัญหาสำคัญที่นักวิชาการสนใจ ได้ทราบแหล่งข้อมูล ความเปลี่ยนแปลงของความรู้ ความคิด และการตีความที่หลากหลาย เห็นบรรยากาศทางวิชาการและกระแสความรู้ของเรื่องนั้น กล่าวได้ว่าเป็นทางตรงที่เราจะใช้เดินเข้าสู่วงการวิชาการ และเข้าสู่ความทันสมัยทางวิชาการ
6. หามโนทัศน์ของตนมาอธิบายหรือติดตามข้อมูล
การรู้ข้อมูลยังไม่นับว่าเป็นความรู้ที่สำคัญ ความรู้ที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้เกิดจากการใช้ข้อมูล การใช้ข้อมูลให้เกิดเป็นความรู้จะต้องมีการสรุปหรือเชื่อมโยงข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่ง การเชื่อมโยงข้อมูลอาศัยความคิดที่เชื่อมโยงข้อมูลที่เรียกว่ามโนทัศน์ (concept) มโนทัศน์อย่างง่ายได้มาจากการเห็นลักษณะซ้ำๆ ของข้อมูล เช่น เราเห็นว่าบ้านของชาวไทยใหญ่ในมณฑลยูนนานมีต้นไทยอยู่ทุกบ้าน หรือทุกหมู่บ้าน ก็เกิดมโนทัศน์ว่า ชาวไทยใหญ่นับถือต้นไทร หรือต้นไทรเป็นไม้มงคลสำคัญของชาวไทยใหญ่ แต่บางกรณีมโนทัศน์เป็นเครื่องเชื่อมความสัมพันธ์ของปรากฏการณ์ เช่น คนสังเกตเห็นว่าโลหะชนิดต่างๆ เมื่อถูกความร้อนถึงระดับหนึ่ง ขนาดจะขยายขึ้น ก็เกิดมโนทัศน์ว่า โลหะเมื่อถูกความร้อนจะขยายตัว มโนทัศน์นี้นำไปอธิบายได้ว่าทำไมช่างทำล้อเกวียนจึงเผาวงล้อเหล็กที่ขนาดเท่ากับล้อไม้เพื่อสวมวงล้อเหล็กลงบนวงล้อไม้
ความรู้แทบทั้งหมดที่เราเรียนเกิดจากการสร้างมโนทัศน์มาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างปรากฏการณ์หรือข้อมูล ถ้าผู้เขียนสามารถหามโนทัศน์ใหม่ๆ มาอธิบายข้อมูลเดียวกันให้ต่างกับคนอื่นได้ งานของผู้นั้นก็น่าสนใจ
7. ปิดทางโต้แย้งจากผู้อื่น
ถ้าคนอ่านหนังสือเชื่อตามผู้เขียนทั้งหมด หนังสือทุกเล่มจะเป็นหนังสือที่น่าอ่าน แต่คนอ่านก็มีความรู้ บางครั้งความรู้ก็ต่างกับคนเขียน จึงโต้แย้ง คัดค้าน เห็นข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาด จนถึงกับไม่ชอบวิธีนำเสนอและลีลาการเขียน หากผู้เขียนต้องการให้งานน่าอ่านก็ต้องลดสิ่งเหล่านี้ให้ได้ งานเขียนที่ผู้อ่านเห็นว่าน่าอ่านก็คืองานที่มีลักษณะตรงข้ามคือไม่ผิดพลาด โดยเฉพาะในเรื่องหรือข้อมูลสำคัญ มีคำอธิบายครบถ้วน เหตุผลถูกต้อง ตอบปัญหาชัดเจน การทำให้งานมีลักษณะเช่นนี้อาศัยหลักการง่ายๆ คือ ทำตัวเป็นผู้อ่านที่เชื่อยาก ช่างสงสัย และพยายามโต้แย้ง คือค้านตัวเองและตอบข้อค้านนั้นให้ได้
8. ให้ผู้รู้ช่วยอ่าน
การให้ผู้รู้ช่วยอ่านก็เพื่อได้เห็นข้อบกพร่องและแก้ไขไม่ว่าจะเป็นเรื่องความผิดพลาด ความเชื่อมโยงกันเป็นระบบ การเพิ่มส่วนที่ขาด มุมมองที่ต่างไปจากเรา แหล่งความรู้ที่ควรศึกษาเพิ่มเติม ตลอดจนวิธีเรียบเรียง และภาษาที่ใช้ ข้อบกพร่องเหล่านี้คนเขียนมักไม่เห็น เพราะในการเขียนเรามุ่งคิดไปทางใดทางหนึ่ง และมักไม่ได้คิดนึกให้กว้างขวางออกไป ไม่ว่าเราจะอ่านทบทวนเองสักกี่ครั้ง ก็ไม่เห็นข้อบกพร่อง แต่คนอื่นซึ่งไม่ได้ถูกจำกัดการมองเช่นนั้นจะเห็นสิ่งที่เราไม่เห็น ผู้เขียนจึงต้องพร้อมรับคำติชมและแก้ไข กรณีเช่นนี้ต้องไม่คิดว่าเราไม่รู้ โง่เขลา หรืองานของเราน่าอับอาย แต่ควรคิดว่านี่คือโอกาสที่เราจะรู้ข้อบกพร่องเพื่อจะได้แก้ไขและไม่ทำผิดซ้ำ เราต้องใช้กระจกเมื่อเวลาแต่งหน้าเพราะอะไร เพราะกระจกนั้นสะท้อนทั้งส่วนดีและส่วนบกพร่อง ทำให้เราแก้ไขส่วนที่บกพร่อง และเน้นส่วนดีให้เด่น ผู้รู้ที่ช่วยอ่านก็เหมือนกระจกที่จะทำให้เราไม่ต้องอายคนอื่นในภายหลัง และช่วยให้เรามั่นใจในงานที่เราเขียนมากขึ้น
นอกจากเรื่องที่กล่าวมาแล้วนี้ ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่จะต้องรู้และนำไปปฏิบัติ เช่น การใช้ภาษาวิชาการ การเรียบเรียง การทำตามมาตรฐานของการเขียนตำรา การใช้เครื่องมือช่วยอธิบาย ลีลาการเขียน ซึ่งล้วนแต่มีส่วนทำให้งานน่าอ่านและได้มาตรฐานของงานวิชาการ และเรื่องเหล่านั้นก็เป็นเรื่องที่มีรายละเอียดเช่นเดียวกัน
เอกสารอ้างอิง ศาสตราจารย์กิตติคุณ ปรีชา ช้างขวัญยืน, เอกสารประกอบการบรรยายการผลิตตำราและหนังสือวิชาการ, วันที่ 19 มีนาคม 2555, มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, (เอกสารไม่ตีพิมพ์เผยแพร่), หน้า 10 - 13
แล้วทำอย่างไรถึงจะคิดหัวข้อวิจัยได้ดีหละค่ะ
ตอบลบ...น้องแอม
อาจเริ่มต้นง่ายๆ ที่การเพ่งสมาธิที่ความสนใจ อยากรู้อยากเห็น อยากเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมทั้งในอดีตและปัจจุบันในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับขอบเขตของสาขาวิชาของท่าน ลองมองรอบๆ ตัวแล้วจะพบกับคำถามมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างประเด็นในการคิดหัวข้อวิจัยขึ้นมาได้ครับ
ลบ